นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และดำรงไว้ซึ่งมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรฐานที่เหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล จึงได้จัดทำและเผยแพร่นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  ("นโยบาย") ฉบับนี้ให้กับบุคคลทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทฯ ได้รับทราบ และให้มีผลบังคับใช้กับผู้บริหาร นักงาน และบุคคลภายนอก ผู้ปฏิบัติงานให้ บริษัทฯ ทุกคนถือปฏิบัติ และให้ผู้บริหารของทุกหน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบในการสนับสนุน ผลักดัน และตรวจสอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบาย และกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด

 

นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

นโยบายคุ้กกี้

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ หรือที่ต่อไปนี้จะเรียกรวมว่า “บริษัท” เคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าชม และ/หรือผู้ใช้เว็บไซต์ (“ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์”) และตระหนักถึงความคาดหวังของผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์ว่าข้อมูล (“ข้อมูล”) ที่ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์ได้ให้ไว้กับ บริษัท ผ่านเว็บไซต์นี้ (“เว็บไซต์”) จะได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม บริษัทจึงขอประกาศนโยบายการใช้คุกกี้ (“นโยบายการใช้คุกกี้”) สำหรับเว็บไซต์นี้

คำนิยาม

"บริษัทในเครือ" หมายถึง บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด และหมายความรวมถึง ผู้กระทำการแทนของบริษัทดังกล่าวด้วย

การใช้คุกกี้

คุกกี้ คือ ไฟล์ข้อความขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข ที่ บริษัทจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์หรือฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์ของท่าน, แท็บเล็ตของท่าน หรืออุปกรณ์สื่อสารพกพาของท่าน บริษัท อาจเก็บข้อมูลของท่านผ่านทางคุกกี้เหล่านี้ เมื่อท่านเข้าชมเว็บไซต์ของเรา รายละเอียดคุกกี้แต่ละประเภทของบริษัท ที่อาจจะถูกใช้งานในเว็บไซต์มีดังนี้

1. คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Necessary Cookies)

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของเว็บไซต์ ได้แก่ คุกกี้ที่ทำให้เว็บไซต์สามารถทำหน้าที่ขั้นพื้นฐานและช่วยให้การทำงานของเว็บไซต์ทำงานได้เป็นปกติ เช่น การเลื่อนสำรวจหน้าเว็บไซต์ หรือทำให้ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์เข้าสู่ระบบและสามารถเข้าถึงส่วนของเว็บไซต์ที่ถูกสงวนไว้ให้ใช้ได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานอย่างถูกต้องได้เลยหากไม่มีการเก็บรวบรวมคุกกี้เหล่านี้ ดังนั้น ท่านไม่สามารถปิดการใช้งานของคุกกี้ประเภทนี้ผ่านระบบของเว็บไซต์ของ บริษัท ได้ ทั้งนี้ คุกกี้ประเภทนี้ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลซึ่งสามารถระบุตัวตนของท่านได้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด

2. คุกกี้ประสิทธิภาพ (Performance Cookies)

คุกกี้ประเภทนี้ทำให้ บริษัท สามารถนับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ และแหล่งที่มาของผู้เข้าชมเหล่านั้น ทำให้เข้าใจว่าผู้เข้าชม/ผู้ใช้มีการปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์อย่างไรบ้าง และหน้าเว็บใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหรือน้อยที่สุด โดยการเก็บรวบรวมและการรายงานข้อมูลโดยไม่ระบุตัวตนของท่านอย่างไม่เฉพาะเจาะจงแก่ บริษัท ช่วยให้ บริษัทสามารถพัฒนาและมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีกว่าแก่ท่าน หากท่านไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ บริษัทจะไม่อาจทราบได้ว่าท่านเคยมาเข้าชมเว็บไซต์ของ บริษัท เมื่อใด และไม่สามารถติดตามประสิทธิภาพการประมวลผลของหน้าเว็บได้

3. คุกกี้ที่ช่วยเหลือในการทำงาน (Functionality Cookies)

คุกกี้ประเภทนี้อาจถูกติดตั้งไว้โดย บริษัท หรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยคุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของท่านที่ใช้ในการเข้าชมเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น ทำให้เว็บไซต์สามารถจดจำชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านได้ และจดจำการตั้งคู่ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์เพื่อการแสดงผลหน้าเว็บในครั้งต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน หากท่านไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ

4. คุกกี้เพื่อกำหนดเป้าหมาย (Targeting Cookies)

คุกกี้ประเภทนี้อาจถูกติดตั้งโดยพันธมิตรทางการตลาดผ่านทางเว็บไซต์ของเรา โดยจะทำการจัดเก็บข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ของท่านว่า ท่านเข้าชมเว็บไซต์ใดบ้าง และเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทางลิงก์ใดบ้าง บริษัท ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับความสนใจของท่านมากขึ้น บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้แก่บุคคลที่สามเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ด้วย หากท่านไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านจะได้รับการโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงน้อยลง

5.คุกกี้ของบุคคลที่สาม

ในบางกรณี บริษัท ใช้คุกกี้ของบุคคลที่สามซึ่งเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจจาก บริษัทด้วย
เว็บไซต์นี้ใช้ Google Analytics ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการวิเคราะห์เว็บไซต์ที่แพร่หลายและได้รับการไว้วางใจเป็นอย่างมากรายหนึ่งในการช่วยให้ บริษัทเข้าใจว่าท่านใช้เว็บไซต์ของ บริษัทอย่างไร และเข้าใจแนวทางในการปรับปรุงประสบการณ์การท่องเว็บของท่านให้ดียิ่งขึ้น คุกกี้เหล่านี้อาจมีการติดตามสิ่งต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาที่ท่านใช้ในการเข้าชมเว็บไซต์หรือหน้าเพจของ บริษัท ซึ่งจะส่งผลให้ บริษัท สามารถผลิตเนื้อหาที่น่าสนใจต่อไปได้

การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าคุกกี้

ผู้เข้าชมหรือผู้ใช้เว็บไซต์ สามารถใช้เครื่องมือควบคุมคุกกี้ของเว็บเบราว์เซอร์ในการเปลี่ยนแปลง การตั้งค่าคุกกี้ ได้อย่างไรก็ตาม บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การปิดการใช้งานคุกกี้บางตัวอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเว็บไซต์นี้ และอาจส่งผลถึงขั้นที่ทำให้รูปแบบการทำงานหรือปฏิบัติการบางอย่างของเว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้

การปรับปรุงนโยบายการใช้คุกกี้

บริษัท มีการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงนโยบายการใช้คุกกี้นี้ตามความเหมาะสมอยู่เป็นระยะ ท่านสามารถเข้าเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์นี้หากต้องการทราบนโยบายการใช้คุกกี้ฉบับปรับปรุงของ บริษัท

รายละเอียดการติดต่อบริษัทฯ

หากท่านต้องการติดต่อเพื่อขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล หรือหากมีข้อสงสัยหรือข้อร้องเรียนใดๆ ท่านสามารถติดต่อได้ดังช่องทางต่อไปนี้

อีเมล Hrzenexprop@gmail.com

เลขที่ 59/10 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

นโยบายกล้องวงจรปิด

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ หรือที่จะเรียกต่อไปนี้ว่า “บริษัทฯ” ใช้กล้องวงจรปิดสำหรับสังเกตการณ์และบันทึกภาพบุคคลที่อยู่ในและบริเวณโดยรอบของอาคารและสถานที่ของบริษัทฯ

บริษัทฯ จึงจัดทำและเผยแพร่นโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิดเพื่อชี้แจงรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงวิธีการในการปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและแนวทางการจัดการข้อมูลดังกล่าวอย่างเหมาะสมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (“พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) ดังที่จะกล่าวในนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิดฉบับนี้ ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “นโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิด”

ขอบเขตนโยบาย

นโยบายนี้ครอบคลุมถึง

  • วิธีที่บริษัทฯ ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บ

  • วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

  • การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

  • ระยะเวลาการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

  • สิทธิของท่าน

  • มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิด

วิธีที่บริษัทฯ ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บ

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล

  • เมื่อท่านอยู่ในและบริเวณโดยรอบของอาคารและสถานที่ของบริษัทฯ โดยข้อมูลของท่านจะถูกบันทึกผ่านระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทฯ เช่น ระบบกล้องวงจรปิด

ข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บ

  • ภาพถ่าย หรือภาพเคลื่อนไหวที่ถูกบันทึกไว้

วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทฯ ผ่านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ หรือบุคคลใดๆ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง หรือที่จะกระทำการแทนหรือในนามบริษัทฯ ที่จำเป็นในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยบริเวณอาคารและสถานที่ของบริษัทฯ อาจอาศัย (1) ฐานประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate interest) และ (2) ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation) ดังนี้

1. เพื่อควบคุมการเข้าอาคารและสถานที่ ตลอดจนเพื่อสังเกตการณ์ ป้องกัน ขัดขวาง และ (หากจำเป็น) ตรวจสอบการเข้าอาคารและสถานที่โดยมิได้รับอนุญาต เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณอาคารและสถานที่ของบริษัทฯ

2. เพื่อควบคุมการเข้าถึงแหล่งเทคโนโลยีสารสนเทศและฐานข้อมูลของบริษัทฯ

3. เพื่อจัดเก็บข้อมูลจากระบบกล้องวงจรปิดไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทฯ รวมทั้งเพื่อดูแลและตรวจสอบระบบกล้องวงจรปิดตามวัตถุประสงค์ข้างต้น

4. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายใด ๆ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการที่จำเป็นในกระบวนการทางกฎหมาย หรือการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

5. เพื่อการป้องกันด้านสุขภาพจากโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด

ในกรณีที่บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือดำเนินการประมวลผลใดๆ ต่อข้อมูลส่วนตัวของท่านนอกเหนือไปที่วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในนโยบายฉบับนี้ บริษัทฯ จะแจ้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไว้ที่เว็บไซต์ www.zenexproperty.com หรือแจ้งเป็นประกาศที่สาขาของบริษัทฯ ให้ท่านทราบ

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

โดยปกติ บริษัทฯ จะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่เก็บรวบรวมผ่านระบบกล้องวงจรปิดดังกล่าวข้างต้นให้แก่บุคคลภายนอก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลภายนอกเฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินการดังกล่าวเท่านั้น

ระยะเวลาการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 120 วัน นับแต่วันที่ท่านได้เข้าอาคารหรือสถานที่ของบริษัทฯ หรือหลังจากครบกำหนดอายุความในการดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ภาพที่บันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิดนั้นจะถูกลบโดยอัติโนมัติ

สิทธิของท่าน

ท่านมีสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังต่อไปนี้

สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

1 .สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านและอยู่ในความดูแลของบริษัทฯ เฉพาะข้อมูลที่ท่านได้ให้ความยินยอม หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมได้ บริษัทฯ จะจัดส่งสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้ท่านภายใน 30 วันนับแต่วันที่บริษัทฯ ได้รับคำขอ และ/หรือตามที่กฏหมายกำหนด ทั้งนี้ในบางกรณีบริษัทฯ อาจทำการขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตนและสิทธิของท่านอันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

2. สิทธิขอให้ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทฯ ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นด้วยวิธีอัตโนมัติ และมีสิทธิในการขอรับข้อมูลส่วนบุคคล ที่บริษัทฯ ส่งหรือโอนไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่โดยสภาพทางเทคนิคไม่สามารถทำได้

3. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านเมื่อใดก็ได้ ในกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

3.1 เพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง

3.2. เพื่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือ สถิติเว้นแต่เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

4. สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ท่านมีสิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เฉพาะข้อมูลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทฯ หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้

4.1. เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย

4.2. เมื่อท่านถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัทฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยได้ต่อไป

4.3. เมื่อท่านคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัทฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะปฏิเสธได้

4.4. เมื่อ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

5.สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอให้ระงับใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในกรณีดังต่อไปนี้

5.1. อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลว่ามีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ หรือไม่

5.2. เป็นข้อมูลที่ต้องลบหรือทำลายเมื่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ท่านขอให้ระงับแทน

5.3. เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่ท่านยังมีความจำเป็นต้องขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย

5.4. เมื่อบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิในการปฏิเสธคำขอการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้  หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

6. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่เมื่อการถอนความยินยอมนั้นถูกจำกัดโดยกฎหมายหรือสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่าน ทั้งนี้ การถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทฯ ก่อนหน้าแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย

7. สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน บริษัทฯ ต้องดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทฯ ปฏิเสธคำขอของท่าน บริษัทฯ จะบันทึกการปฏิเสธดังกล่าวพร้อมด้วยเหตุผลลงในบันทึกรายการ

8. สิทธิในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ท่านมีสิทธิร้องเรียนในกรณีที่บริษัทฯ หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทฯ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือประกาศที่ออกตามพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

การใช้สิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่านสามารถทำได้ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการใช้สิทธิต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรุณาติดต่อตามรายละเอียดผู้ติดต่อที่ด้านท้ายนโยบายนี้

มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

ภาพถ่ายหรือภาพที่ถูกบันทึกข้างต้นไว้โดยบริษัทฯ สามารถเข้าถึงได้โดย ฝ่ายบริการลูกค้า ฝ่ายบริหารสำนักงานใหญ่ หน่วยงานความปลอดภัยและการป้องกันความสูญเสีย และบริษัทคู่สัญญาผู้รับจ้างดำเนินการเกี่ยวกับระบบกล้องวงจรปิด ในการนี้ บริษัทฯ จะจำกัดการเข้าถึงระบบกล้องวงจรปิดในระดับสูงซึ่งจะมีการป้องกันโดยการ กำหนดรหัสผ่าน (password) และโดยการบันทึกการเข้าสู่ระบบและการปฏิบัติการใด ๆ ของผู้เข้าถึงระบบกล้องวงจรปิด และข้อมูลส่วนบุคคลมิอาจเข้าถึงได้โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บริหาร หรือฝ่ายบริหารสำนักงานใหญ่

บริษัทฯ ขอรับรองว่าข้อมูลที่จัดเก็บทั้งหมดจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด หากท่านมีเหตุให้เชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกละเมิด หรือมีข้อสงสัยประการใดเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิดฉบับนี้กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทฯ

การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิด

บริษัทฯ สงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับกล้องวงจรปิดได้ตลอดเวลาตามที่เห็นสมควร โดยแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแจ้งการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือปรับปรุงดังกล่าวเอาไว้ในเว็บไซต์ของบริษัทฯ ซึ่งท่านสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา

ติดต่อเรา

หากท่านมีความเห็น ข้อเสนอแนะ คำถาม หรือต้องการร้องเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ที่

ศูนย์คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA Center) บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

อีเมล Hrzenexprop@gmail.com

เลขที่ 59/10 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

ประกาศความเป็นส่วนตัว (สำหรับลูกค้า)

เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ (“บริษัท”) จึงจัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ (“ประกาศ”) เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยประกาศฉบับนี้จะครอบคลุมถึงท่านซึ่งเป็น ลูกค้า

  1. นิยาม

“บริษัทในเครือ”

หมายถึง บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด และหมายความรวมถึง ผู้กระทำการแทนของบริษัทดังกล่าวด้วย

“ข้อมูลส่วนบุคคล”

หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลธรรมดาซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ 

“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว”

หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

“ฐานทางกฎหมาย”

หมายถึง เหตุที่กฎหมายรองรับให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“ลูกค้า”

หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ซื้อหรืออาจจะซื้ออสังหาริมทรัพย์และ/หรือใช้บริการของบริษัท หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น ผู้ที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลหรือขอรับบริการจากบริษัท เป็นต้น

“บุคคลที่เกี่ยวข้อง”

หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนของลูกค้า เช่น ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น พนักงาน ตัวแทนหรือบุคคลธรรมดาอื่นใดที่กระทำการแทนหรือในนามลูกค้าของบริษัท

  1. ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่ระบุในประกาศฉบับนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ตามความจำเป็นเพื่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ  ของบริษัทที่แจ้งในประกาศฉบับนี้

ข้อมูลระบุตัวตนและข้อมูลติดต่อทั่วไป

ได้แก่ คำนำหน้า ชื่อ ชื่อสกุล ชื่อเล่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ รูปภาพ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง ข้อมูลใบขับขี่ ลายมือชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว อีเมลส่วนตัว และข้อมูลบุคคลที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงาน

ได้แก่ ตำแหน่งงาน แผนกที่สังกัด สถานที่ทำงาน เงินเดือน ประวัติการทำงาน อายุงาน เงินเดือน เป็นต้น

ข้อมูลตามเอกสารแนบ

ได้แก่ บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง หนังสือรับรองการทำงาน หนังสือรับรองเงินเดือน ใบสั่งซื้อ ใบเสนอราคา หนังสือรับรอง โฉนดที่ดิน และเอกสารอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

ได้แก่ ศาสนา หมู่โลหิต ซึ่งปรากฏบนสำเนาบัตรประชาชน เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ

เช่น ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท ในกรณีทีท่านเข้ามายังบริเวณของบริษัท เป็นต้น

  1. แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล 

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมดังต่อไปนี้

จากตัวท่านเองโดยตรง

โดยผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ผ่านทางวาจา ได้แก่ กรณีการพูดคุยต่อหน้า หรือทางโทรศัพท์ เป็นต้น
  • ผ่านทางเอกสาร ได้แก่ นามบัตร เอกสารสัญญา เอกสารข้อตกลง หนังสือรับรองบริษัท             ใบเสนอราคา ใบสั่งซื้อ แบบฟอร์ม หรือเอกสารอื่น ๆ เป็นต้น
  • ผ่านทางช่องทางการติดต่ออื่น ได้แก่ อีเมล์ โทรสาร เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น

จากแหล่งอื่น ๆ หรือบุคคลที่สาม

  • จากแหล่งอื่นหรือจากบุคคลที่สาม ได้แก่ นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างของท่าน ผู้จำหน่ายสินค้า/ผู้ให้บริการ ธนาคาร หน่วยงานของรัฐ แหล่งข้อมูลสาธารณะ (เช่น เว็บไซต์) เป็นต้น 
  • จากแหล่งการติดต่อสื่อสาร สอบถามข้อมูล ให้ความเห็น หรือคำติชมแก่บริษัทของท่าน รวมไปถึงจากการแสดงเจตนาเพื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากบริษัทของท่าน การเข้าทำสัญญากับบริษัท หรือการส่งมอบเอกสารต่าง ๆ เป็นต้น
  1. วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อนำไปใช้และ/หรือเปิดเผยภายใต้วัตถุประสงค์และโดยอาศัยฐานทางกฎหมายฐานใดฐานหนึ่งตามแต่กรณีที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้

ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

  • เพื่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือเข้าทำสัญญา
  • เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท และลูกค้า หรือบุคคลอื่น
  • เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท
  • เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพของบุคคล
  • เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล

ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

  • เพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
  • เพื่อความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด
  • เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล

หากบริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นนอกเหนือจากที่ปรากฏในประกาศนี้ บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ/หรือแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ใหม่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงบริษัทจะขอความยินยอมจากท่านในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องได้รับความยินยอม ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

  • วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพื่อการติดต่อสื่อสารและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเจรจาก่อนการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้าง เช่น การนัดประชุม การทำใบเสนอราคา การทำคำสั่งซื้อก่อนเข้าทำสัญญา การเจรจาเพื่อเข้าทำสัญญาและการตกลงขอบเขตของข้อสัญญา การตรวจสอบและลงทะเบียนลูกค้าในฐานข้อมูลของบริษัท รวมไปถึงการพิจารณาคุณสมบัติลูกค้าตามนโยบายบริษัท
  • เพื่อการเข้าทำสัญญาและการปฏิบัติตามสัญญา เช่น การติดต่อสื่อสาร การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ/บริการ การให้บริการตามสัญญา การส่งมอบสินค้า การติดตามผลของการให้บริการ การชำระค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้รับเหมา ผู้ให้บริการหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอก ลูกค้าหรือคู่ค้าอื่นของบริษัท ธนาคาร องค์กรของรัฐ เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว รวมถึงการดำเนินการแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลแก่คู่ค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามคำร้องเรียนของลูกค้า 

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การเก็บรวบรวมและเปิดเผยจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและบริการนั้น ๆ นอกจากนี้ การเข้าทำสัญญาและการปฏิบัติตามสัญญาในข้อนี้ให้รวมถึงการติดต่อประสานงานกับท่านในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสัญญาด้วย เช่น การขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและรายละเอียดอื่น ๆ ในสัญญา การต่ออายุสัญญา เป็นต้น

  • เพื่อการเรียกเก็บค่าอสังหาริมทรัพย์หรือบริการ การออกใบเสร็จรับเงิน การดำเนินการใด ๆ เพื่อติดตามทวงหนี้ กรณีที่ลูกค้าของบริษัท ผิดนัดไม่ชำระค่าอสังหาริมทรัพย์หรือบริการ 
  • เพื่อจัดการเกี่ยวกับองค์กรและการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพัฒนาการให้บริการ การจัดการด้านระบบและฐานข้อมูล การขออนุญาตประกอบกิจการกับหน่วยงานรัฐ การสอบบัญชี การตรวจสอบภายใน การขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางธุรกิจ การเปิดเผยข้อมูลของท่านแก่สถาบันการเงินเพื่อการขอสินเชื่อของบริษัท การซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร รวมถึงการรายงานข้อมูลลูกค้าของบริษัทไปยังบริษัทแม่เพื่อประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการองค์กรในกลุ่มในเครือ
  • เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท เช่น การออกใบกำกับภาษี การจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีให้แก่ผู้ตรวจสอบบัญชี และหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายและคำสั่งของผู้มีอำนาจ
  • เพื่อการเก็บข้อมูลการติดต่อสื่อสารของท่านต่อไปบนฐานข้อมูลบริษัทเพื่อการติดต่อทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่บริษัทในเครือ เพื่อการติดต่อและสานสัมพันธ์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
  • เพื่อการดำเนินการเกี่ยวกับการบริการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การประเมินผล การสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อพัฒนาการตรวจสอบการให้บริการของบริษัท เป็นต้น
  • เพื่อการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต
  1. ผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อติดต่อสื่อสารในการเข้าทำสัญญาหรือดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสัญญาที่มีกับท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้าง รวมถึงเพื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีที่ท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท ท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างอาจไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อสื่อสารเพื่อทำสัญญาหรือปฏิบัติตามสัญญาได้ ในบางกรณีอาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถเข้าผูกพันหรือปฏิบัติตามสัญญากับท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างได้ นอกจากนี้อาจทำให้ท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับได้ในบางกรณี 

  1. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในประกาศฉบับนี้ ในบางกรณี บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่บุคคลหรือองค์กรใด ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงบุคคลหรือองค์กรดังต่อไปนี้ 

  • บริษัทในเครือ
  • ผู้ให้บริการและตัวแทนที่บริษัทว่าจ้าง เช่น ผู้ให้บริการด้านระบบไอที หรือฐานข้อมูลอื่น ๆ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญอื่นภายนอกบริษัท ผู้ให้บริการขนส่ง ผู้รับเหมาช่วง เป็นต้น
  • บริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มในเครือ คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้ให้บริการภายนอกและตัวแทนที่บริษัทดังกล่าวว่าจ้าง
  • หน่วยงานของรัฐ เช่น กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมศุลกากร สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นต้น
  • ธนาคารพาณิชย์  ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • พนักงานตำรวจ ศาล อนุญาโตตุลาการ ทนายความ บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาคดีและการระงับข้อพิพาท 
  • บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร

ในบางกรณี บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทจะตรวจสอบให้มั่นใจว่าประเทศปลายทางมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นกำหนด หากบริษัทจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังประเทศที่มีมาตรฐานคุ้มครองส่วนบุคคลที่ยังไม่ได้รับการรองรับตามกฎหมายหรือกรณียังไม่มีกฎหมายกำหนดรับรองเรื่องมาตรฐานดังกล่าว บริษัทจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อให้การส่งหรือโอนดังกล่าวเป็นไปโดยชอบ ซึ่งอาจรวมถึงการขอความยินยอมจากท่านในกรณีที่จำเป็น หรือการจัดการให้มีมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อให้ท่านยังคงสามารถบังคับตามสิทธิของท่านได้ รวมทั้งจัดให้มีมาตรการเยียวยาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด

  1. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่นิติสัมพันธ์ระหว่างท่านหรือบุคคลที่ท่านกระทำการแทนกับบริษัทสิ้นสุดลง ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแต่ไม่ได้เข้าผูกนิติสัมพันธ์กับท่านหรือบุคคลที่ท่านกระทำการแทน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี 

ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนอาจถูกเก็บรักษาเกินกว่าระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างต้นสำหรับการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับ และการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท โดยในกรณีดังกล่าวข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาตลอดระยะเวลาที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 

  1. สิทธิของท่านในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

ท่านมีสิทธิตามกฎหมายในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ ดังนี้ 

1. สิทธิเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมให้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตลอดระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไว้ โดยการเพิกถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องสมบูรณ์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้กระทำก่อนที่จะมีการเพิกถอนความยินยอมนั้น

2. สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อบริษัทให้แก่ท่านได้

3. สิทธิร้องขอให้โอนหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมิสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลอื่นหรือตัวท่านเองได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย

4. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย

5. สิทธิร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย

6. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย

7. สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือ เพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ได้

8. สิทธิในการร้องเรียน ท่านมีสิทธิในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทหรือพนักงานหรือผู้รับจ้างของบริษัท ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ทั้งนี้ ท่านสามารถแจ้งการใช้สิทธิดังกล่าวแก่บริษัทได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อมูลการติดต่อของบริษัทซึ่งอยู่ด้านล่างนี้ ในกรณีที่บริษัทไม่อาจทำตามคำขอของท่านได้ บริษัทจะอธิบายเหตุผลของการปฏิเสธไปพร้อมกับคำตอบสนองดังกล่าว

  1. การเปลี่ยนแปลงประกาศความเป็นส่วนตัว

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ตามสมควร โดยประกาศฉบับนี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงครั้งล่าสุดในวันที่ 1 มีนาคม 2566 

  1. ข้อมูลและช่องทางการติดต่อของบริษัท

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ที่อยู่: เลขที่ 59/53 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

เบอร์โทรศัพท์: 064-571-2478

อีเมล์ DPO@zenexproperty.com

เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

ประกาศความเป็นส่วนตัว(สำหรับคู่ค้า)

เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ (“บริษัท”) จึงจัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ (“ประกาศ”) เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยประกาศฉบับนี้จะครอบคลุมถึงท่านซึ่งเป็น คู่ค้า

  1. นิยาม

“บริษัทในเครือ”

หมายถึง บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด และหมายความรวมถึง ผู้กระทำการแทนของบริษัทดังกล่าวด้วย

“ข้อมูลส่วนบุคคล”

หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลธรรมดาซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ 

“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว”

หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

“ฐานทางกฎหมาย”

หมายถึง เหตุที่กฎหมายรองรับให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“คู่ค้า”

หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ขายหรืออาจจะเสนอขายสินค้าและ/หรือบริการแก่บริษัท หรือได้ลงทะเบียนเป็นคู่ค้ากับบริษัท หรือมีความสัมพันธ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่รวมถึงลูกค้าของบริษัท

“บุคคลที่เกี่ยวข้อง”

หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนของคู่ค้า เช่น ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น พนักงาน ตัวแทนหรือบุคคลธรรมดาอื่นใดที่กระทำการแทนหรือในนามคู่ค้าของบริษัท

  1. ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่ระบุในประกาศฉบับนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ตามความจำเป็นเพื่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ  ของบริษัทที่แจ้งในประกาศฉบับนี้

ข้อมูลระบุตัวตนและข้อมูลติดต่อทั่วไป

ได้แก่ คำนำหน้า ชื่อ ชื่อสกุล ชื่อเล่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ รูปภาพ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง ข้อมูลใบขับขี่ ลายมือชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว อีเมลส่วนตัว และข้อมูลบุคคลที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคู่ค้า

ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงาน

ได้แก่ ตำแหน่งงาน แผนกที่สังกัด สถานที่ทำงาน อีเมล์ของสำนักงานซึ่งระบุชื่อของท่าน เป็นต้น

ข้อมูลตามเอกสารแนบ

ได้แก่ นามบัตร บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ใบสั่งซื้อ ใบเสนอราคา หนังสือรับรอง ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเอกสารอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

ได้แก่ ศาสนา หมู่โลหิต ซึ่งปรากฏบนสำเนาบัตรประชาชน เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ

เช่น ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท ในกรณีทีท่านเข้ามายังบริเวณของบริษัท เป็นต้น

  1. แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล 

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมดังต่อไปนี้

จากตัวท่านเองโดยตรง

โดยผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ผ่านทางวาจา ได้แก่ กรณีการพูดคุยต่อหน้า หรือทางโทรศัพท์ เป็นต้น
  • ผ่านทางเอกสาร ได้แก่ นามบัตร เอกสารสัญญา เอกสารข้อตกลง หนังสือรับรองบริษัท             ใบเสนอราคา ใบสั่งซื้อ แบบฟอร์ม หรือเอกสารอื่น ๆ เป็นต้น
  • ผ่านทางช่องทางการติดต่ออื่น ได้แก่ อีเมล์ โทรสาร เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น

จากแหล่งอื่น ๆ หรือบุคคลที่สาม

  • จากแหล่งอื่นหรือจากบุคคลที่สาม ได้แก่ นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างของท่าน ผู้จำหน่ายสินค้า/ผู้ให้บริการ ผู้เสนอแนะบริการหรือสินค้าของท่านให้กับบริษัท หรือคู่ค้าทางธุรกิจของบริษัท เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลธุรกิจ หรือเครื่องมือค้นหาข้อมูลสำหรับการติดต่อธุรกิจ ธนาคาร หน่วยงานของรัฐ แหล่งข้อมูลสาธารณะ (เช่น เว็บไซต์) เป็นต้น 
  • จากแหล่งการติดต่อสื่อสาร สอบถามข้อมูล ให้ความเห็น หรือคำติชมแก่บริษัทของท่าน รวมไปถึงจากการแสดงเจตนาเพื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากบริษัทของท่าน การเข้าทำสัญญากับบริษัท หรือการส่งมอบเอกสารต่าง ๆ เป็นต้น
  1. วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อนำไปใช้และ/หรือเปิดเผยภายใต้วัตถุประสงค์และโดยอาศัยฐานทางกฎหมายฐานใดฐานหนึ่งตามแต่กรณีที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้

ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

  • เพื่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือเข้าทำสัญญา
  • เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท และ คู่ค้า หรือบุคคลอื่น
  • เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท
  • เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพของบุคคล
  • เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล

ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

  • เพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
  • เพื่อความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด
  • เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล

หากบริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นนอกเหนือจากที่ปรากฏในประกาศนี้ บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ/หรือแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ใหม่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงบริษัทจะขอความยินยอมจากท่านในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องได้รับความยินยอม ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

  • วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพื่อการติดต่อสื่อสารและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเจรจาก่อนการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้าง เช่น การนัดประชุม การทำใบเสนอราคา การทำคำสั่งซื้อก่อนเข้าทำสัญญา การเจรจาเพื่อเข้าทำสัญญาและการตกลงขอบเขตของข้อสัญญา การตรวจสอบและลงทะเบียนคู่ค้าในฐานข้อมูลของบริษัท รวมไปถึงการพิจารณาคุณสมบัติคู่ค้าตามนโยบายบริษัท
  • เพื่อการเข้าทำสัญญาและการปฏิบัติตามสัญญา เช่น การติดต่อสื่อสารงาน การดำเนินการตามคำสั่งซื้อสินค้า/บริการ การให้บริการตามสัญญา การจัดส่งสินค้า การติดตามผลของการให้บริการ การติดตามสินค้าที่สั่งซื้อหรือบริการที่ร้องขอ การดำเนินการเพื่อส่งและรับสินค้าหรือบริการ การชำระค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ผู้รับเหมา ผู้ให้บริการหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอก ลูกค้าหรือคู่ค้าอื่นของบริษัท ธนาคาร องค์กรของรัฐ เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว รวมถึงการดำเนินการแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับสินค้า ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การเก็บรวบรวมและเปิดเผยจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและบริการนั้น ๆ นอกจากนี้ การเข้าทำสัญญาและการปฏิบัติตามสัญญาในข้อนี้ให้รวมถึงการติดต่อประสานงานกับท่านในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสัญญาด้วย เช่น การขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและรายละเอียดอื่น ๆ ในสัญญา การต่ออายุสัญญา เป็นต้น
  • เพื่อการเรียกเก็บค่าสินค้าหรือบริการ การออกใบเสร็จรับเงิน การดำเนินการใด ๆ เพื่อติดตามทวงหนี้ กรณีที่ท่านซึ่งเป็นคู่ค้าหรือบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้าง ผิดนัดไม่ส่งมอบสินค้าหรือบริการ
  • เพื่อจัดการเกี่ยวกับองค์กรและการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพัฒนาการให้บริการ การจัดการด้านระบบและฐานข้อมูล การขออนุญาตประกอบกิจการกับหน่วยงานรัฐ การสอบบัญชี การตรวจสอบภายใน การขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางธุรกิจ การเปิดเผยข้อมูลของท่านแก่สถาบันการเงินเพื่อการขอสินเชื่อของบริษัท การซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร รวมถึงการรายงานข้อมูลลูกค้าของบริษัทไปยังบริษัทแม่เพื่อประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการองค์กรในกลุ่มในเครือ
  • เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท เช่น การออกใบกำกับภาษี การจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีให้แก่ผู้ตรวจสอบบัญชี และหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายและคำสั่งของผู้มีอำนาจ
  • เพื่อการเก็บข้อมูลการติดต่อสื่อสารของท่านต่อไปบนฐานข้อมูลบริษัทเพื่อการติดต่อทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่บริษัทในเครือ เพื่อการติดต่อและสานสัมพันธ์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
  • เพื่อการดำเนินการเกี่ยวกับการบริการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การประเมินผล การสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าเพื่อพัฒนาการตรวจสอบการให้บริการของบริษัท เป็นต้น
  • เพื่อการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต
  1. ผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อติดต่อสื่อสารในการเข้าทำสัญญาหรือดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสัญญาที่มีกับท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้าง รวมถึงเพื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีที่ท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท ท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างอาจไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อสื่อสารเพื่อทำสัญญาหรือปฏิบัติตามสัญญาได้ ในบางกรณีอาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถเข้าผูกพันหรือปฏิบัติตามสัญญากับท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างได้ นอกจากนี้อาจทำให้ท่านหรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือกระทำการในนามหรือเป็นลูกจ้างอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับได้ในบางกรณี 

  1. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในประกาศฉบับนี้ ในบางกรณี บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่บุคคลหรือองค์กรใด ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงบุคคลหรือองค์กรดังต่อไปนี้ 

  • บริษัทในเครือ
  • ผู้ให้บริการและตัวแทนที่บริษัทว่าจ้าง เช่น ผู้ให้บริการด้านระบบไอที หรือฐานข้อมูลอื่น ๆ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญอื่นภายนอกบริษัท ผู้ให้บริการขนส่ง ผู้รับเหมาช่วง เป็นต้น
  • บริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มในเครือ คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้ให้บริการภายนอกและตัวแทนที่บริษัทดังกล่าวว่าจ้าง
  • หน่วยงานของรัฐ เช่น กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมศุลกากร สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นต้น
  • ธนาคารพาณิชย์  ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • พนักงานตำรวจ ศาล อนุญาโตตุลาการ ทนายความ บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาคดีและการระงับข้อพิพาท 
  • บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร

ในบางกรณี บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทจะตรวจสอบให้มั่นใจว่าประเทศปลายทางมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นกำหนด หากบริษัทจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังประเทศที่มีมาตรฐานคุ้มครองส่วนบุคคลที่ยังไม่ได้รับการรองรับตามกฎหมายหรือกรณียังไม่มีกฎหมายกำหนดรับรองเรื่องมาตรฐานดังกล่าว บริษัทจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อให้การส่งหรือโอนดังกล่าวเป็นไปโดยชอบ ซึ่งอาจรวมถึงการขอความยินยอมจากท่านในกรณีที่จำเป็น หรือการจัดการให้มีมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อให้ท่านยังคงสามารถบังคับตามสิทธิของท่านได้ รวมทั้งจัดให้มีมาตรการเยียวยาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด

  1. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่นิติสัมพันธ์ระหว่างท่านหรือบุคคลที่ท่านกระทำการแทนกับบริษัท สิ้นสุดลง ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแต่ไม่ได้เข้าผูกนิติสัมพันธ์กับท่านหรือบุคคลที่ท่านกระทำการแทน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี 

ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนอาจถูกเก็บรักษาเกินกว่าระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างต้นสำหรับการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับ และการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท โดยในกรณีดังกล่าวข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาตลอดระยะเวลาที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 

  1. สิทธิของท่านในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

ท่านมีสิทธิตามกฎหมายในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ ดังนี้ 

1. สิทธิเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมให้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตลอดระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไว้ โดยการเพิกถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องสมบูรณ์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้กระทำก่อนที่จะมีการเพิกถอนความยินยอมนั้น

2. สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อบริษัทให้แก่ท่านได้

3. สิทธิร้องขอให้โอนหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมิสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลอื่นหรือตัวท่านเองได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย

4. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย

5. สิทธิร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย

6. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย

7. สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือ เพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ได้

8. สิทธิในการร้องเรียน ท่านมีสิทธิในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทหรือพนักงานหรือผู้รับจ้างของบริษัท ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ทั้งนี้ ท่านสามารถแจ้งการใช้สิทธิดังกล่าวแก่บริษัทได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อมูลการติดต่อของบริษัทซึ่งอยู่ด้านล่างนี้ ในกรณีที่บริษัทไม่อาจทำตามคำขอของท่านได้ บริษัทจะอธิบายเหตุผลของการปฏิเสธไปพร้อมกับคำตอบสนองดังกล่าว

  1. การเปลี่ยนแปลงประกาศความเป็นส่วนตัว

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ตามสมควร โดยประกาศฉบับนี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงครั้งล่าสุดในวันที่ 1 มีนาคม 2566

  1. ข้อมูลและช่องทางการติดต่อของบริษัท

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ที่อยู่: เลขที่ 59/10 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

เบอร์โทรศัพท์: 064-571-2478

อีเมล์: DPO@zenexproperty.com

เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

ประกาศความเป็นส่วนตัว (สำหรับบุคลากรของบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้อง)

เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ (“บริษัท”) จึงจัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ (“ประกาศ”) เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยประกาศฉบับนี้จะครอบคลุมถึงท่านซึ่งเป็น บุคลากรของบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

นิยาม

"บริษัทในเครือ" หมายถึง บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด และหมายความรวมถึง ผู้กระทำการแทนของบริษัทดังกล่าวด้วย

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลธรรมดาซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ

“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

“ฐานทางกฎหมาย” หมายถึง เหตุที่กฎหมายรองรับให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“ผู้สมัครงาน” หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งแสดงความประสงค์จะเข้ารับการคัดเลือกหรือสัมภาษณ์งาน เพื่อทำสัญญากับบริษัทเป็นพนักงานประจำ พนักงานชั่วคราว รวมถึงพนักงานรับเหมาค่าแรง หรือบุคลากรในตำแหน่งอื่นใดที่ทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ให้กับบริษัท และได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ และค่าตอบแทนอื่น ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรเพื่อตอบแทนการทำงาน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะแสดงความประสงค์ด้วยตนเองมายังบริษัทโดยตรง หรือผ่านการดำเนินการของบริษัทจัดหางานภายนอก หรือองค์กรภายนอกอื่นใด รวมถึงบุคลลที่แสดงความประสงค์ที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ฝึกงานกับบริษัท

“บุคลากร” หมายถึง บุคคลซึ่งทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ให้กับบริษัท และได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ และค่าตอบแทนอื่น ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรเพื่อตอบแทนการทำงาน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ผู้จัดการ บุคลากร พนักงานรับเหมาค่าแรง บุคคลที่บริษัทจ้างให้มาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกงานภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

“บุคคลที่เกี่ยวข้อง” หมายถึง บุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงานหรือบุคลากรได้ให้ข้อมูลไว้กับบริษัท เช่น สมาชิกในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น รวมถึงบุคคลที่สามอื่น ๆ ที่ผู้สมัครงานหรือบุคลากรได้ให้ข้อมูลไว้ตามวัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้

ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม

ข้อมูลระบุตัวตนและข้อมูลติดต่อทั่วไป ได้แก่ คำนำหน้า ชื่อ ชื่อสกุล ชื่อเล่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ อาชีพ ที่อยู่ปัจจุบันหรือที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รูปภาพ ลายมือชื่อ สถานะความเป็นอยู่ สถานะการสมรส สถานะครอบครัว หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว อีเมลส่วนตัว เป็นต้น

ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม การทำงาน ความเชี่ยวชาญและทักษะพิเศษ ได้แก่ ประวัติการศึกษาและการฝึกอบรม ข้อมูลการอบรมและการทดสอบ กิจกรรมที่เข้าร่วมระหว่างศึกษา ทักษะในการทำงาน ทักษะภาษา ความรู้พิเศษ ประสบการณ์และประวัติการทำงาน สถานที่ทำงานเก่าและปัจจุบัน ระยะเวลาการทำงานในอดีตถึงปัจจุบัน ตำแหน่งงานและเงินเดือนที่ต้องการ วันที่สมัครงาน หมายเลขใบสมัคร เป็นต้น

ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ได้แก่ ผลการประเมินทักษะ ข้อคิดเห็นต่อตัวผู้สมัคร ผลการสัมภาษณ์ ข้อตกลงเกี่ยวกับการจ้างงาน เช่น ตำแหน่งงาน ระยะเวลาทดลองงาน เงินเดือน หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ตกลงเพื่อรับเข้าทำงาน ข้อมูลเงินเดือน หมายเลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ ผลการประเมินการทดลองงาน ผลการประเมินประจำปี ประวัติพฤติกรรมและการลงโทษทางวินัย บันทึกการหยุดและการลา เป็นต้น

ข้อมูลตามเอกสารอ้างอิง ได้แก่ ข้อมูลที่ปรากฏในประวัติส่วนตัว (Curriculum Vitae / Resume) ใบสมัครงาน เอกสารอื่น ๆ (เช่น กรณีมีการแนบเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร) บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ ใบสำคัญการผ่านเกณฑ์ทหาร หนังสือรับรองการทำงาน หนังสือรับรองเงินเดือน สลิปเงินเดือน สมุดบัญชีธนาคาร ทะเบียนบ้าน หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ บัตรประกันสังคม บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ใบอนุญาตในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพในประเทศไทย ใบรับรองการศึกษา วุฒิบัตร เอกสารรับรองคุณวุฒิ หนังสือรับรองเกี่ยวกับครอบครัว นามบัตร แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน หนังสือยินยอมให้สอบประวัติบุคคล รายงานผลการสอบประวัติบุคคล สัญญาจ้างงานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง หนังสือรับรองคุณวุฒิ ใบแสดงผลการศึกษาความสามารถด้านภาษา ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลเอกสารอื่น ๆ ที่ได้ให้ไว้กับบริษัท เป็นต้น

ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว ได้แก่ ศาสนา หมู่โลหิต ประวัติอาชญากรรม ลายนิ้วมือ ข้อมูลสุขภาพ เช่น น้ำหนักและส่วนสูง โรคประจำตัว ผลการตรวจสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ผลการตรวจสุขภาพประจำปี อุณหภูมิร่างกาย เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ เช่น ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท หรือเสียงการสนทนา ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกผ่านโปรแกรมประชุมออนไลน์ ข้อมูลคุกกี้ ข้อมูล IP address, ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ (logfile) เป็นต้น

หมายเหตุ กรณีที่ท่านให้รายละเอียดของบุคคลที่สามอื่นใด หรือกรณีข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่สามปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านตามประกาศฉบับนี้ ท่านมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บุคคลที่สามดังกล่าวทราบถึงกรณีที่ท่านนำข้อมูลของบุคคลดังกล่าวมาเปิดเผยต่อบริษัท รวมถึงแจ้งรายละเอียดในประกาศฉบับนี้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว

แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมดังต่อไปนี้

จากตัวท่านเองโดยตรง โดยผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังต่อไปนี้
• ผ่านทางวาจา ได้แก่ กรณีการพูดคุยต่อหน้า หรือทางโทรศัพท์ เป็นต้น
• ผ่านทางเอกสาร ได้แก่ แบบฟอร์มใบสมัครงาน จดหมายแนะนำตัว ประวัติย่อการทำงาน (Curriculum Vitae / Resume) แบบฟอร์มใบสมัครงาน นามบัตร เอกสารสัญญา แบบฟอร์มการกรอกเอกสารประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันกลุ่ม หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสมัครงานของบริษัท หรือการจ้างงาน หรือการปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ให้กับบริษัท เป็นต้น
• ผ่านทางช่องทางการติดต่ออื่น ได้แก่ อีเมล โทรสาร ช่องทางการติดต่อออนไลน์ เช่น เว็บไซต์จัดหางานที่ท่านได้ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้สำหรับการสมัครงานในตำแหน่งที่บริษัทเปิดรับสมัคร เป็นต้น

จากแหล่งอื่น ๆ หรือบุคคลที่สาม กรณีที่ท่านเป็นผู้สมัครงาน
• องค์กรนายหน้าจัดหางาน บุคคลที่ท่านได้อ้างอิงในใบสมัครงานเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของท่าน หรือองค์กรอื่นที่ท่านได้เคยหรือได้ทำงานให้ องค์กรของรัฐ บุคคลที่เป็นนายจ้างของท่านในกรณีที่ท่านสมัครเป็นพนักงานรับเหมาค่าแรงของบริษัท มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อาจารย์มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาอื่น ๆ เป็นต้น
กรณีที่ท่านเป็นบุคลากร
• องค์กรนายหน้าจัดหางาน บุคคลที่ท่านได้อ้างอิงในใบสมัครงานเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของท่าน หรือองค์กรอื่นที่ท่านได้เคยหรือได้ทำงานให้ องค์กรของรัฐ สถานพยาบาลที่ได้ให้บริการตรวจสุขภาพแก่ท่าน ธนาคารพาณิชย์ บริษัทอื่น ๆ ซึ่งเป็นผู้จัดสรรสวัสดิการต่าง ๆ ของบริษัทให้แก่ท่าน เช่น บริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทประกันชีวิต บริษัทในเครือในกลุ่มบริษัท หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เก็บและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นสาธารณะตามกฎหมาย เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
กรณีที่ท่านเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานหรือบุคลากร
• ได้แก่ ผู้สมัครงานหรือบุคลากรของบริษัทซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับท่าน

วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อนำไปใช้และ/หรือเปิดเผยภายใต้วัตถุประสงค์และโดยอาศัยฐานทางกฎหมายฐานใดฐานหนึ่งตามแต่กรณีที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
- เพื่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือเข้าทำสัญญา
- เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลที่สาม
- เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท
- เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพของบุคคล
- เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล
ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว
- เพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
- เพื่อความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด
- เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล หากบริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดนอกเหนือจากที่ปรากฏในประกาศนี้ บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ/หรือแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ใหม่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงบริษัทจะขอความยินยอมจากท่านในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องได้รับความยินยอม ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
 วัตถุประสงค์สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน
• เพื่อพิจารณาใบสมัคร การนำข้อมูลมาใช้และเปิดเผยเป็นการภายในบริษัทเพื่อใช้ประกอบการสัมภาษณ์ การประเมินความสามารถ คุณสมบัติ และความเหมาะสมกับตำแหน่งที่ผู้สมัครงานได้ลงสมัครไว้ ตลอดจนตำแหน่งอื่น ๆ ที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสม รวมถึงการติดต่อเพื่อนัดสัมภาษณ์ การแจ้งผลการสัมภาษณ์และการเสนอตำแหน่งงาน เพื่อการเข้าทำสัญญาจ้างกับท่าน
• เพื่อตรวจสอบประวัติของผู้สมัครงานจากบุคคลหรือองค์กรภายนอก รวมถึงการตรวจสอบคุณสมบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของท่าน เช่น กฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว และอาชีพที่ต้องมีเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น และดำเนินการช่วยเหลือให้ท่านได้มาซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว เช่น การยื่นคำขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว การยื่นขอวีซ่า เป็นต้น รวมถึงการตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลสุขภาพและข้อมูลอื่นที่จำเป็นต่อการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติและความเหมาะสมกับตำแหน่งงานของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองแรงงานและสวัสดิภาพในการทำงาน
• เพื่อบันทึกหรือเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เพื่อใช้ในการพิจารณาและติดต่อกับท่าน เมื่อบริษัทเปิดรับสมัครในตำแหน่งงานที่ท่านได้สมัครไว้หรือตำแหน่งงานอื่นใดในอนาคตซึ่งบริษัทเห็นว่าเหมาะสมกับท่าน (เฉพาะกรณีที่ท่านไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานหรือไม่เข้าทำสัญญาจ้างกับบริษัทด้วยเหตุผลประการอื่น)
• เพื่อดำเนินการของบริษัทในงานด้านการควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายใน การตรวจสอบมาตรฐานระบบการจัดการบริหารงานคุณภาพของบริษัท รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลให้แก่แผนกอื่นภายในบริษัทและแก่บริษัทภายนอกที่ได้รับการรับรองให้ตรวจสอบมาตรฐานระบบการจัดการบริหารงานคุณภาพของบริษัท
• เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต  วัตถุประสงค์สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร
• เพื่อติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับการเข้าทำสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างกรรมการ (ถ้ามี) สัญญาจ้างเหมาแรงงาน ตลอดจนการเข้าทำสัญญา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงและการเลิกสัญญาดังกล่าว
• เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของท่าน เช่น กฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว หรือกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นต้น และดำเนินการช่วยเหลือให้ท่านได้มาซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว เช่น การยื่นคำขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว การยื่นขอวีซ่า การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น รวมถึงการตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลอื่นที่จำเป็นต่อการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติและความเหมาะสมกับตำแหน่งงานของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองแรงงานและสวัสดิภาพในการทำงาน
• เพื่อดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการติดต่อและประกอบธุรกิจของบริษัท อันเนื่องมาจากตำแหน่งหน้าที่การงานของท่าน เช่น การจัดทำนามบัตร การใช้และเปิดเผยข้อมูลของท่านเพื่อติดต่อประสานงานกับลูกค้า คู่ค้า หน่วยงานของรัฐ และเพื่อการเข้าทำสัญญาระหว่างบริษัทกับลูกค้าหรือคู่ค้า รวมถึงการมอบอำนาจให้เป็นผู้รับมอบอำนาจกระทำการแทนบริษัทในบางกรณี เช่น การติดต่องานกับหน่วยงานรัฐแทนบริษัท
• เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลของบริษัท ได้แก่ การขึ้นทะเบียนลูกจ้าง การขึ้นทะเบียนระบบของบริษัทแก่ลูกจ้าง การกำกับดูแลและตรวจสอบการเข้าทำงาน (เช่น การตรวจสอบเวลาการเข้า-ออกงานด้วยระบบแสกนบัตรหรือระบบแสกนลายนิ้วมือ) การขาด การลา การประเมินประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงาน การพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง การพิจารณาลงโทษทางวินัย และการเลิกจ้าง การแจ้งข่าวสารและนโยบายของบริษัท ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการจัดการและควบคุมดูแลพนักงานตามข้อบังคับการทำงานของบริษัท และกรณีมีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
การบันทึกหรือเก็บรักษาข้อมูลของท่านไว้บนฐานข้อมูลของบริษัทเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงเกี่ยวกับการจ้างงานท่านและการปฏิบัติตามสัญญาจ้างของบริษัท เช่น การเก็บรักษาข้อมูลตามใบสมัครงาน การบันทึกข้อมูลการเข้าออกบริษัท การเก็บผลการตรวจสุขภาพประจำปีซึ่งเป็นสวัสดิการของบริษัท เป็นต้น และกรณีเก็บไว้เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท เช่น การเก็บเอกสารและเปิดเผยต่อหน่วยงานของรัฐตามที่กฎหมายกำหนด หรือการแจ้งข้อมูลต่อหน่วยงานของรัฐ
• เพื่อจ่ายค่าจ้าง เงินโบนัส ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ท่านได้ออกไปก่อนเพื่อทำงานให้แก่บริษัท การดำเนินการเกี่ยวกับการประกันสังคม การดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายภาษีของท่าน การให้สวัสดิการต่าง ๆ และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท เช่น การทำประกันสุขภาพ การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลของท่านให้หน่วยงานของรัฐ เช่น สำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร รวมถึงหน่วยงานอื่น บริษัทนายจ้างของท่านกรณีที่ท่านเป็นพนักงานรับเหมาค่าแรงที่เข้ามาปฏิบัติงานในบริษัท ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
• เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกอบรมทักษะบุคลากรของบริษัท ทั้งภายในและภายนอกบริษัท และทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานรัฐ เช่น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น และเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว เช่น บริษัทในกลุ่มในเครือ ผู้จัดอบรมภายนอก บริษัทสายการบิน เป็นต้น
• เพื่อบริหารจัดการงานด้านธุรการและเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท เช่น การดำเนินการเกี่ยวกับคำขอของพนักงานที่มีต่อบริษัท การส่งมอบอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับการทำงานของบริษัทให้กับบุคลากร การตรวจสอบการใช้งานและการส่งคืนอุปกรณ์หรือเครื่องมือดังกล่าว การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายของบริษัท การจำกัดสิทธิการเข้าถึงและการใช้งานข้อมูลบนฐานข้อมูลของบริษัท รวมถึงการจัดการเกี่ยวกับองค์กรและการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น การซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างบริษัท เป็นต้น
• เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต
 วัตถุประสงค์สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานและบุคลากร
• เพื่อพิจารณาตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัครงาน ซึ่งอาจรวมถึงการนำข้อมูลมาใช้และเปิดเผยเป็นการภายในบริษัทเพื่อใช้ประกอบการสัมภาษณ์ การประเมินความสามารถ คุณสมบัติ และความเหมาะสมกับตำแหน่งที่ผู้สมัครงานได้ลงสมัครไว้ ตลอดจนตำแหน่งอื่น ๆ ที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสม
• เพื่อติดต่อประสานงานกับท่านในกรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดกับผู้สมัครงานภายในบริเวณของบริษัท หรือระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้บริษัท (กรณีที่ผู้สมัครงานเข้าทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานของบริษัท)
• เพื่อบันทึกหรือเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาและติดต่อกับผู้สมัครงาน เมื่อบริษัทเปิดรับสมัครในตำแหน่งงานที่ผู้สมัครงานได้สมัครไว้หรือตำแหน่งงานอื่นใดในอนาคตซึ่งบริษัทเห็นว่าเหมาะสมกับผู้สมัครงาน (เฉพาะกรณีที่ผู้สมัครงานไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานหรือไม่เข้าทำสัญญาจ้างกับบริษัทด้วยเหตุผลประการอื่น)
• เพื่อบันทึกหรือเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในทะเบียนประวัติของพนักงาน และดำเนินการใด ๆ เพื่อการให้สวัสดิการกับพนักงาน (กรณีที่ผู้สมัครงานเข้าทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานของบริษัท)
• เพื่อบันทึกและเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในทะเบียนพนักงานลูกจ้างและเพื่อการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานลูกจ้าง
• เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต

ผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมดังต่อไปนี้

 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน
บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อพิจารณาคุณสมบัติและความเหมาะสมของท่านในการเข้าทำสัญญาจ้างงานหรือฝึกงานกับบริษัท ซึ่งในกรณีที่ท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท บริษัทอาจไม่สามารถประเมินความสามารถและความเหมาะสมของท่านอย่างถูกต้อง ซึ่งในบางกรณีที่ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสำคัญต่อตำแหน่งที่ท่านได้สมัครไว้ บริษัทอาจตัดสินใจไม่รับท่านเข้าทำงานหรือฝึกงานด้วยเหตุผลที่ท่านไม่ให้ข้อมูลดังกล่าว รวมถึงกรณีที่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นต่อการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครงาน บริษัทอาจไม่สามารถประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ที่เหมาะสมเพื่อการรับผู้สมัครงานเข้าทำงานหรือฝึกงานกับบริษัทได้
 ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากรและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร
บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือสัญญาจ้างกรรมการ (ถ้ามี) หรือสัญญาจ้างเหมาแรงงาน หรือสัญญาฝึกงาน รวมถึงเพื่อประโยชน์โดยชอบในการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบุคคลที่สามที่มีความสัมพันธ์ในทางธุรกิจกับบริษัท ดังนั้น ในกรณีที่ท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท บริษัทอาจไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของบริษัทในฐานะนายจ้าง หรือคู่สัญญากับนายจ้างท่าน (กรณีที่ท่านเป็นพนักงานรับเหมาค่าแรงที่เข้ามาปฏิบัติงานในบริษัท) หรือคู่สัญญากับบุคคลที่สามที่บริษัทมีความสัมพันธ์ในทางธุรกิจด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานร่วมกัน หรือการฝึกงานของท่านกับบริษัทต่อไปได้ อย่างไรก็ดี ในบางกรณีที่บริษัทขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน อาทิ กรณีที่บริษัทต้องขอความยินยอมในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นเพื่อจัดหาสวัสดิการให้กับท่าน เช่น การทำประกันสุขภาพให้แก่ท่าน แต่ท่านไม่ให้ความยินยอมหรือเพิกถอนความยินยอมในภายหลัง การถอนความยินยอมอาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งไว้กับท่านได้ ซึ่งอาจรวมถึงการที่ท่านอาจไม่ได้รับสวัสดิการบางประการของบริษัท แต่ทั้งนี้ท่านยังคงสามารถให้หรือไม่ให้ความยินยอมหรือเพิกถอนความยินยอมได้โดยสมัครใจและเป็นอิสระ โดยการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่ส่งผลต่อการประเมินผลงานและความสามารถของท่านที่กระทำโดยบริษัท

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในประกาศฉบับนี้ บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในบางกรณี แก่บุคคลหรือองค์กรใด ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงบุคคลหรือองค์กรดังต่อไปนี้
— บริษัทในเครือ
— ลูกค้าของบริษัท หรือ คู่ค้าของบริษัท ผู้ให้บริการและตัวแทนที่บริษัทว่าจ้าง เช่น ผู้ให้บริการด้านระบบไอทีหรือฐานข้อมูลอื่น ๆ นายหน้าจัดหางาน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดหางาน ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญอื่นภายนอกบริษัท
— บริษัทนายจ้างของท่าน กรณีที่ท่านเป็นพนักงานรับเหมาค่าแรงที่เข้ามาปฏิบัติงานในบริษัท
— บุคคลที่ท่านได้อ้างอิงไว้ในเอกสารที่ใช้เก็บข้อมูลส่วนบุคคล
— องค์กรหรือหน่วยงานฝึกอบรมภายนอก
— องค์กรที่ผู้สมัครงานเคยทำงานให้ หรือบุคคลที่ผู้สมัครงานได้อ้างอิงไว้
— หน่วยงานของรัฐ เช่น สำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงแรงงาน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สถานทูต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีตำรวจ เป็นต้น
— หน่วยงานเอกชน เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทสายการบิน บริษัทนำเที่ยว สถานพยาบาล เป็นต้น
— พนักงานตำรวจ ศาล อนุญาโตตุลาการ ทนายความ บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาคดีและการระงับข้อพิพาท
— บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายกิจการ การควบรวมกิจการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร

ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตลอดระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อการพิจารณาเข้าทำสัญญาจ้างแรงงานกับท่าน และเมื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาดังต่อไปนี้
— ในกรณีที่บริษัทรับท่านเข้าทำงาน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ตลอดระยะเวลาของสัญญาจ้างและหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
— ในกรณีที่ท่านไม่ได้เข้าทำงานกับบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุใด เช่น บริษัทปฏิเสธไม่รับท่านเข้าทำงานหรือท่านปฏิเสธจะเข้าทำงานกับบริษัท
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันสัมภาษณ์งาน และในกรณีที่ท่านยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่านไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์ในการรับสมัครงาน ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่านก็จะถูกเก็บรักษาไว้ในระยะเวลาเดียวกัน
— ในกรณีที่บริษัทไม่ได้รับท่านเข้าฝึกงานด้วยเหตุผลใด ๆ บริษัทจะยังคงเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน นับจากวันที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
 ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาดังต่อไปนี้
— บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ตลอดระยะเวลาของสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างกรรมการ (ถ้ามี) สัญญาจ้างเหมาแรงงาน และหลังจากท่านพ้นจากสถานะการเป็นบุคลากรของบริษัท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
— บริษัทจะเก็บรวบรวมและรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ตลอดระยะเวลาของสัญญาฝึกงาน และอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ต่อหลังจากท่านพ้นสถานะการเป็นผู้ฝึกงานกับบริษัทแล้ว เป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
— กรณีข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพประจำปี ข้อมูลสุขภาพ ประวิติอาชญากรรม และประกันกลุ่ม บริษัทจะลบหรือทำลายภายในระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ท่านพ้นจากสถานะการเป็นบุคลากรของบริษัท
— กรณีข้อมูลลายนิ้วมือ บริษัทจะลบหรือทำลายภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ท่านพ้นจากสถานะการเป็นบุคลากรของบริษัท
 ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตลอดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่กำหนดไว้ในประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนอาจถูกเก็บรักษาเกินกว่าระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างต้นสำหรับการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับ และการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท โดยในกรณีดังกล่าวข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาตลอดระยะเวลาที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

สิทธิของท่านในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

ท่านมีสิทธิตามกฎหมายในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ ดังนี้
1. สิทธิเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมให้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตลอดระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไว้ โดยการเพิกถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องสมบูรณ์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้กระทำก่อนที่จะมีการเพิกถอนความยินยอมนั้น
2. สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อบริษัทให้แก่ท่านได้
3. สิทธิร้องขอให้โอนหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมิสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลอื่นหรือตัวท่านเองได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย
4. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย
5. สิทธิร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
6. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
7. สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือ เพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ได้
8. สิทธิในการร้องเรียน ท่านมีสิทธิในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทหรือพนักงานหรือผู้รับจ้างของบริษัท ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ท่านสามารถแจ้งการใช้สิทธิดังกล่าวแก่บริษัทได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อมูลการติดต่อของบริษัทซึ่งอยู่ด้านล่างนี้ ในกรณีที่บริษัทไม่อาจทำตามคำขอของท่านได้ บริษัทจะอธิบายเหตุผลของการปฏิเสธไปพร้อมกับคำตอบสนองดังกล่าว

ข้อมูลและช่องทางการติดต่อของบริษัท

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ตามสมควร โดยประกาศฉบับนี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงครั้งล่าสุดในวันที่ 1 มีนาคม 2565

การเปลี่ยนแปลงประกาศความเป็นส่วนตัว

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ที่อยู่: เลขที่ 59/53 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240
เบอร์โทรศัพท์: 064-571-2478
อีเมล์: PDPA@zenexproperty.com
เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

ประกาศความเป็นส่วนตัว (สำหรับผู้เข้ามาในสถานที่ของบริษัท)

เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ (“บริษัท”) จึงจัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ (“ประกาศ”) เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยประกาศฉบับนี้จะครอบคลุมถึงท่านซึ่งเป็น ผู้เข้ามาในสถานที่ของบริษัท

คำนิยาม

"บริษัทในเครือ" หมายถึง บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด และหมายความรวมถึง ผู้กระทำการแทนของบริษัทดังกล่าวด้วย

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลธรรมดาซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ

“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

“ฐานทางกฎหมาย” หมายถึง เหตุที่กฎหมายรองรับให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“ผู้เข้ามาในสถานที่ของบริษัท” หมายถึง บุคคลที่เดินทางเข้ามาในสถานที่ทำการของบริษัทไม่ว่าเพื่อกิจธุระใด ๆ เช่น พนักงานรับส่งเอกสาร ลูกค้า คู่ค้า บุคลากรของบริษัท รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามที่ระบุในประกาศฉบับนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ตามความจำเป็นเพื่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ของบริษัทที่แจ้งในประกาศฉบับนี้

ข้อมูลระบุตัวตนและข้อมูลติดต่อทั่วไป ได้แก่ คำนำหน้า ชื่อ ชื่อสกุล ชื่อเล่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ รูปภาพ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง ข้อมูลใบขับขี่ ลายมือชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว เป็นต้น

ข้อมูลรายละเอียดการเข้าสถานที่ ได้แก่ วันและเวลาเข้าออกสถานที่ เลขทะเบียนและลักษณะของยานพาหนะ จำนวนผู้มาติดต่อ จุดประสงค์ในการติดต่อ เป็นต้น

ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว ได้แก่ ศาสนา หมู่โลหิต ซึ่งปรากฏบนสำเนาบัตรประชาชน ข้อมูลด้านสุขภาพ เช่น อุณหภูมิร่างกาย เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ เช่น ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท ในกรณีทีท่านเข้ามายังบริเวณของบริษัท เป็นต้น

แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมดังต่อไปนี้

จากตัวท่านเองโดยตรง โดยผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังต่อไปนี้
• ผ่านทางวาจา ได้แก่ กรณีการพูดคุยต่อหน้า เป็นต้น
• ผ่านทางเอกสาร ได้แก่ บัตรประชาชน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือเอกสารอื่น ๆ ที่ท่านแสดงเพื่อใช้ในการอ้างอิง เป็นต้น
• ผ่านทางช่องทางการติดต่ออื่น ได้แก่ การบันทึกภาพโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท และการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายโดยบุคคลากรของบริษัท เป็นต้น

จากแหล่งอื่น ๆ หรือบุคคลที่สาม • ได้แก่ บุคคลที่ท่านมาติดต่อ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อนำไปใช้และ/หรือเปิดเผยภายใต้วัตถุประสงค์และโดยอาศัยฐานทางกฎหมายฐานใดฐานหนึ่งตามแต่กรณีที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้

ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
- เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือบุคคลอื่น
- เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับบริษัท
- เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพของบุคคล
ฐานทางกฎหมายสำหรับประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว
- เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านกรณีที่ท่านไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม
- เพื่อความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด
- เพื่อการดำเนินการอื่นใดภายใต้ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล
หากบริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นนอกเหนือจากที่ปรากฏในประกาศนี้ บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ/หรือแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ใหม่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงบริษัทจะขอความยินยอมจากท่านในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องได้รับความยินยอม ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
 วัตถุประสงค์สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้ามาในสถานที่ของบริษัท
• เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณบริษัท เช่น การสอดส่องดูแลบริเวณภายในบริษัทด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด การตรวจสอบการเข้า-ออกบริษัทด้วยระบบแสกนบัตรหรือระบบแสกนลายนิ้วมือ เป็นต้น
• เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามกระบวนการรักษาความปลอดภัย ป้องกันอาชญากรรม หรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ รวมถึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน และเปิดเผยต่อพนักงานตำรวจเพื่อการตรวจสอบกรณีมีเหตุการณ์อันไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นในบริเวณบริษัท รวมถึงการเปิดเผยต่อผู้เสียหายอื่น (ถ้ามี) การปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท เช่น การดำเนินคดีตามกฎหมาย การริเริ่มคดี การต่อสู้คดี การระงับข้อพิพาทนอกศาล และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัทตามที่มีกฎหมายอนุญาต
• เพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงและบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพของท่าน เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิร่างกายของท่าน เป็นต้น เพื่อใช้เป็นวิธีป้องกันเชื้อโรคหรือโรคติดต่อซึ่งอาจส่งผลต่อการแพร่กระจายเชื้อในวงกว้าง รวมไปถึงในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคลที่เข้ามาภายในบริษัท ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลไปยังองค์กรภายนอกเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว เช่น เปิดเผยแก่กรมควบคุมโรค สถาบันการแพทย์ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เป็นต้น

ผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อตรวจสอบและระบุตัวตนของท่านตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของบริษัท ซึ่งในกรณีที่ท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท บริษัทอาจตัดสินใจไม่ให้ท่านเข้าไปในสถานที่ของบริษัทได้

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในประกาศฉบับนี้ ในบางกรณี บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่บุคคลหรือองค์กรใด ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงบุคคลหรือองค์กรดังต่อไปนี้
— ผู้ให้บริการและตัวแทนที่บริษัทว่าจ้าง เช่น ผู้ให้บริการหรือที่ปรึกษาด้านระบบความปลอดภัยและพนักงานของผู้ให้บริการดังกล่าว เป็นต้น
— หน่วยงานของรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีตำรวจ เป็นต้น
— พนักงานตำรวจ ศาล อนุญาโตตุลาการ ทนายความ บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาคดีและการระงับข้อพิพาท หรือหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ตามกฎหมาย เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาความปลอดภัยและป้องกันโรคติดต่อ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ท่านได้เข้ามาในสถานที่ของบริษัท ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนอาจถูกเก็บรักษาเกินกว่าระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างต้นสำหรับการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับ และการปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือโต้แย้งข้อกล่าวหาที่มีต่อบริษัท โดยในกรณีดังกล่าวข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาตลอดระยะเวลาที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

สิทธิของท่านในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

ท่านมีสิทธิตามกฎหมายในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ ดังนี้
1. สิทธิเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมให้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตลอดระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไว้ โดยการเพิกถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องสมบูรณ์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้กระทำก่อนที่จะมีการเพิกถอนความยินยอมนั้น
2. สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อบริษัทให้แก่ท่านได้
3. สิทธิร้องขอให้โอนหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมิสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลอื่นหรือตัวท่านเองได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย
4. สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย
5. สิทธิร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
6. สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
7. สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือ เพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ได้
8. สิทธิในการร้องเรียน ท่านมีสิทธิในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทหรือพนักงานหรือผู้รับจ้างของบริษัท ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ท่านสามารถแจ้งการใช้สิทธิดังกล่าวแก่บริษัทได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อมูลการติดต่อของบริษัทซึ่งอยู่ด้านล่างนี้ ในกรณีที่บริษัทไม่อาจทำตามคำขอของท่านได้ บริษัทจะอธิบายเหตุผลของการปฏิเสธไปพร้อมกับคำตอบสนองดังกล่าว

การเปลี่ยนแปลงประกาศความเป็นส่วนตัว

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ตามสมควร โดยประกาศฉบับนี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงครั้งล่าสุดในวันที่ 1 มีนาคม 2566

รายละเอียดการติดต่อบริษัทฯ

บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ที่อยู่: เลขที่ 59/10 ซ.ราษฎร์พัฒนา 35 แขวงราษฏร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240
เบอร์โทรศัพท์: 064-571-2478
อีเมล์: pdpa@zenexproperty.com
เว็บไซต์ www.zenexproperty.com

นโยบายการกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัทย่อย

 บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย1 (รวมเรียกว่า “บริษัท”) มีการบริหารงานโดยยึดถือแนวปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2560 โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ กลุ่มบริษัทจะคำนึงถึงผลตอบแทนของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนที่จะได้รับจากการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทได้กำหนดให้มีนโยบายการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานของธุรกิจที่กลุ่มบริษัทเข้าไปลงทุน เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัทย่อย และ/หรือ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ทจ.39/2559 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ. 2558 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งนโยบายนี้ กลุ่มบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นกลไกสำคัญที่จะนำไปสู่การมีระบบการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และสามารถกำหนดทิศทางการบริหารงานที่กลุ่มบริษัท เข้าไปลงทุนหรือจะเข้าลงทุนในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนว่าเป็นฝ่ายงานหรือหน่วยงานหนึ่งในองค์กรของกลุ่มบริษัท อีกทั้งยังสามารถติดตามการบริหาร และดำเนินงานของกิจการที่เข้าไปลงทุน เพื่อการดูแลรักษาซึ่งผลประโยชน์ในการลงทุนของกลุ่มบริษัทได้ มาตรการในการกำกับดูแลกิจการดังกล่าวนี้จะเพิ่มมูลค่าและความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มบริษัทว่าธุรกิจที่กลุ่มบริษัทเข้าลงทุนนั้นจะดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการการกำกับดูแลบริษัทย่อย และ/หรือ ดังนี้

 1. ในกรณีที่นโยบายนี้กำหนดให้การทำรายการหรือการดำเนินการใด ๆ ซึ่งมีนัยสำคัญหรือมีผลต่อฐานะ ทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทย่อย เป็นเรื่องที่จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท (แล้วแต่กรณี) ให้กรรมการบริษัทมีหน้าที่ในการจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัท และ/หรือ การประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวก่อนที่บริษัทย่อย จะจัดประชุมคณะกรรมการ และ/หรือ ผู้ถือหุ้นของตนเองเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนการทำรายการหรือดำเนินการในเรื่องนั้น ในการนี้ ให้กลุ่มบริษัทเปิดเผยข้อมูลและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ขั้นตอนและวิธีการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะขออนุมัตินั้นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายบริษัทมหาชน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประกาศ ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยอย่างครบถ้วนและถูกต้อง

 2. ในกรณีดังต่อไปนี้บริษัทย่อย ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของกลุ่มบริษัท

     (1) การแต่งตั้ง หรือเสนอชื่อบุคคลเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารในบริษัทย่อย อย่างน้อยตามสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทในบริษัทย่อย โดยให้กรรมการและผู้บริหารที่กลุ่มบริษัทเสนอชื่อ หรือ


1บริษัทย่อย และคำนิยามอื่นใดภายใต้นโยบายการกำกับดูแล้วการดำเนินงานของบริษัทย่อยนี้ให้เป็นไปตามบทนิยามของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 17/2551 เรื่อง การกำหนดนิยามบทนิยามในประกาศเกี่ยวกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์

     แต่งตั้งมีดุลยพินิจในการพิจารณาออกเสียงในการประชุมคณะกรรมการของบริษัทย่อย ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทั่วไปและดําเนินธุรกิจตามปกติของบริษัทย่อย ได้ตามแต่ที่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทย่อย จะเห็นสมควรเพื่อประโยชน์สูงสุดของกลุ่มบริษัท เว้นแต่เรื่องที่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท หรือ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้ กรรมการ หรือผู้บริหารตามวรรคข้างต้นที่ได้รับการเสนอชื่อนั้น ต้องมีคุณสมบัติบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ ตลอดจนไม่มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการกำหนดลักษณะขาดความไม่น่าไว้วางใจของกรรมการ และผู้บริหารของกลุ่มบริษัท

     (2) การพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี และเงินปันผลระหว่างกาล (หากมี) ของบริษัทย่อย

     (3) การแก้ไขข้อบังคับของบริษัทย่อย เว้นแต่การแก้ไขข้อบังคับในเรื่องที่มีนัยสำคัญตามข้อ (3) (ฉ)

     (4) การพิจารณาอนุมัติงบประมาณประจำปีของบริษัทย่อย

     (5) การแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัทย่อย   เฉพาะกรณีที่ผู้สอบบัญชีดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสังกัดสำนักงานสอบบัญชีในเครือข่ายเดียวกันกับผู้สอบบัญชีของกลุ่มบริษัท ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวทางการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของกลุ่มบริษัท ที่ผู้สอบบัญชีของบริษัทย่อยจะต้องสังกัดสำนักงานสอบบัญชีในเครือข่ายเดียวกันกับผู้สอบบัญชีของกลุ่มบริษัท

 รายการตั้งแต่ข้อ (ฉ) ถึงข้อ (ฑ) นี้เป็นรายการที่ถือว่ามีสาระสำคัญ และหากเข้าทำรายการจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทย่อย ดังนั้น จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของกลุ่มบริษัทก่อน ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่เมื่อคำนวณขนาดรายการที่บริษัทย่อยจะเข้าทำรายการเปรียบเทียบกับขนาดของกลุ่มบริษัท (โดยนำหลักเกณฑ์การคำนวณรายการตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และ/หรือเกี่ยวกับเรื่องการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และ/หรือ ประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น (แล้วแต่กรณี) มาบังคับใช้โดยอนุโลม) แล้วอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท ซึ่งรายการดังต่อไปนี้คือ

     (6) กรณีที่บริษัทย่อยตกลงเข้าทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทย่อย หรือรายการที่เกี่ยวกับการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินของบริษัทย่อย

     (7) การโอน หรือสละสิทธิประโยชน์ รวมถึงการสละสิทธิเรียกร้องที่มีต่อผู้ที่ก่อความเสียหายแก่บริษัทย่อย

     (8) การขาย หรือโอนกิจการของบริษัทย่อยทั้งหมด หรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่บุคคลอื่น

     (9) การซื้อ หรือการรับโอนกิจการของบริษัทอื่นมาเป็นของบริษัทย่อย

     (10) การเข้าทำ แก้ไข หรือเลิกสัญญาเกี่ยวกับการให้เช่ากิจการของบริษัทย่อยทั้งหมด หรือบางส่วนที่สำคัญ การมอบหมายให้บุคคลอื่นเข้าจัดการธุรกิจของบริษัทย่อย หรือการรวมกิจการของบริษัทย่อยกับบุคคลอื่น

     (11) การเช่า หรือให้เช่าซื้อกิจการ หรือทรัพย์สินของบริษัทย่อยทั้งหมด หรือส่วนที่มีสาระสําคัญ

     (12) การกู้ยืมเงิน การให้ กู้ยืมเงิน การให้สินเชื่อ การค้ำประกัน การทํานิติกรรมผูกพันบริษัทย่อยให้ต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น หรือการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในลักษณะอื่นใดแก่บุคคลอื่น และมิใช่ธุรกิจปกติของบริษัทย่อย

     (13) การเลิกกิจการของบริษัทย่อย

     (14) รายการอื่นใดที่ไม่ใช่รายการธุรกิจปกติของบริษัทย่อยและเป็นรายการที่จะมีผลกระทบต่อบริษัทย่อยอย่างมีนัยสําคัญ

 3. ในกรณีดังต่อไปนี้บริษัทย่อยต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย

     (1) กรณีที่บริษัทย่อยตกลงเข้าทํารายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทย่อย หรือรายการที่เกี่ยวกับการได้มา หรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินของบริษัทย่อย ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่เมื่อคํานวณขนาดของรายการที่บริษัทย่อยจะเข้าทํารายการเปรียบเทียบกับขนาดของกลุ่มบริษัท (โดยนําหลักเกณฑ์การคํานวณรายการตามที่กําหนดไว้ในประกาศที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกํากับตลาดทุนและคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาบังคับใช้โดยอนุโลม) แล้วอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท

     (2) การเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทย่อยและการจัดสรรหุ้น รวมทั้งการลดทุนจดทะเบียนซึ่งไม่เป็นไปตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น หรือการดำเนินการอื่นใด อันจะเป็นผลให้สัดส่วนการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนของกลุ่มบริษัท ทั้งทางตรงและ/หรือทางอ้อม ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อยไม่ว่าในทอดใด ๆ ลดลงเหลือน้อยกว่าสัดส่วนที่กำหนดในกฎหมายซึ่งใช้บังคับกับกลุ่มบริษัทอันมีผลให้กลุ่มบริษัทไม่มีอำนาจควบคุมบริษัทย่อย ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่เมื่อคำนวณขนาดของรายการที่บริษัทย่อยจะเข้าทำรายการเปรียบเทียบกับขนาดของกลุ่มบริษัท แล้วอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่ม บริษัท (โดยนำหลักเกณฑ์การคำนวณขนาดของรายการตามที่กำหนดไว้ในประกาศที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาบังคับใช้โดยอนุโลม)

     (3) การดำเนินการอื่นใดอันเป็นผลให้สัดส่วนการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนของกลุ่มบริษัททั้งทางตรงและ/หรือทางอ้อมในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อยไม่ว่าในทอดใด ๆ ลดลงเกินกว่าร้อยละสิบ (10) ของจำนวนเสียงทั้งหมดในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย หรือเป็นผลให้สัดส่วนการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนของกลุ่มบริษัททั้งทางตรงและ/หรือทางอ้อมในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อยไม่ว่าในทอดใด ๆ ลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละห้าสิบ (50) ของจำนวนเสียงทั้งหมดในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อยในการเข้าทำรายการอื่นใดที่มิใช่ธุรกิจปกติของบริษัทย่อย

     (4) การเลิกกิจการของบริษัทย่อย ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่เมื่อคํานวณขนาดของกิจการบริษัทย่อยที่จะเลิกนั้นเปรียบเทียบกับขนาดของกลุ่มบริษัท (โดยนําหลักเกณฑ์การคํานวณรายการตามที่กําหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน และประกาศคณะกรรมการการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และ/หรือ ประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น มาบังคับใช้โดยอนุโลม) แล้วอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท

     (5) รายการอื่นใดที่ไม่ใช่รายการธุรกิจปกติของบริษัทย่อยและรายการที่จะมีผลกระทบต่อบริษัทย่อยอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่เมื่อคํานวณขนาดรายการนั้นเปรียบเทียบกับขนาดของกลุ่มบริษัท (โดยนําหลักเกณฑ์การคํานวณรายการตามที่กําหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน และประกาศคณะกรรมการการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการได้มา หรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และ/หรือ ประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น มาบังคับใช้โดยอนุโลม) แล้วอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท

     (6) การแก้ไขข้อบังคับของบริษัทย่อยในเรื่องที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อฐานะการเงิน และผลการดําเนินงานของบริษัทย่อย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียง การแก้ไขข้อบังคับของบริษัทย่อยที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนของกลุ่มบริษัท ในที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทย่อย และ/หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย หรือการจ่ายเงินปันผลของบริษัทย่อย เป็นต้น

 4. กลุ่มบริษัทจะติดตามดูแลให้กรรมการและผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มบริษัท ไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทย่อย และ/หรือ ปฏิบัติให้เป็นไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ข้อบังคับ และนโยบายของกลุ่มบริษัท

 5. คณะกรรมการของกลุ่มบริษัท จะต้องดําเนินการให้บริษัทย่อยและมีระบบควบคุมภายใน ระบบบริหารความเสี่ยง และระบบป้องกันการทุจริต รวมถึงกําหนดให้มีมาตรการในการติดตามผลการดําเนินงานของ บริษัทย่อยและที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพและรัดกุมเพียงพอที่ทําให้มั่นใจได้ว่าการดําเนินการต่าง ๆ ของ บริษัทย่อยและจะเป็นไปตามแผนงาน นโยบายและข้อบังคับของกลุ่มบริษัท รวมถึงกฎหมายและประกาศเรื่องการกํากับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงประกาศ ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกํากับตลาดทุน สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อย่างแท้จริง และติดตามให้บริษัทย่อย และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญ และ/หรือรายการที่มีนัยสําคัญอื่นใดต่อกลุ่มบริษัท และดําเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการกํากับดูแลและการบริหารจัดการบริษัทย่อยและตามที่กําหนดไว้ในนโยบายและข้อบังคับของกลุ่มบริษัทอย่างครบถ้วนและถูกต้อง รวมถึงมีช่องทางให้กรรมการและผู้บริหารของกลุ่มบริษัทสามารถได้รับข้อมูลของบริษัทย่อยในการติดตามดูแลผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน การทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญ และการทำรายการที่มีนัยสำคัญอื่นใดของบริษัทย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 6. กลุ่มบริษัทจะดำเนินการให้มีกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มบริษัท ไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัทย่อยเข้าร่วมประชุม และออกเสียงลงคะแนนตามที่กลุ่มบริษัท กำหนดในการประชุมคณะกรรมการบริษัทย่อย ในการพิจารณาวาระที่มีสาระสำคัญต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทย่อยทุกครั้ง

 7. ให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทย่อยที่ได้รับการเสนอชื่อหรือแต่งตั้งโดยกลุ่มบริษัท มีหน้าที่ดังต่อไปนี้

     (1) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน การทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตลอดจนการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญของบริษัทย่อย ให้แก่คณะกรรมการและผู้บริหารของกลุ่มบริษัททราบโดยครบถ้วน ถูกต้อง และภายในกำหนดเวลาที่สมควรตามที่กลุ่มบริษัทกำหนด

     (2) เปิดเผยและนำส่งข้อมูลส่วนได้เสียของตนและบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการของกลุ่มบริษัท ให้ทราบถึงความสัมพันธ์ และการทำธุรกรรมกับกลุ่มบริษัท ให้ทราบถึงความสัมพันธ์ และการทำธุรกรรมกับกลุ่มบริษัท ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และคณะกรรมการของบริษัทย่อยมีหน้าที่แจ้งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการของกลุ่มบริษัททราบ ภายในกำหนดเวลาที่กลุ่มบริษัทกำหนด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินหรืออนุมัติใด ๆ ซึ่งการพิจารณานั้นจะคำนึงถึงประโยชน์โดยรวมของกลุ่มบริษัท เป็นสำคัญ ทั้งนี้ กรรมการและผู้บริหารของบริษัทย่อยต้องไม่มีส่วนร่วมอนุมัติในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสียหรือความขัดแย้งทางผลประโยชน์ทั้งทางตรง/หรือทางอ้อมนั้นด้วย

     (3) การกระทำดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นผลให้กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทย่อย หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องของกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทย่อยได้รับผลประโยชน์ทางการเงินอื่นนอกเหนือจากที่พึงได้ตามปกติ หรือเป็นเหตุให้กลุ่มบริษัท ได้รับความเสียหายให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของบริษัทย่อยอย่างมีนัยสำคัญ

       - การทำธุรกรรมระหว่างกลุ่มบริษัทกับกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทย่อย หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องของกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทย่อย โดยมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน

       - การใช้ข้อมูลของกลุ่มบริษัทที่ล่วงรู้มา เว้นแต่เป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว

       - การใช้ทรัพย์สินหรือโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มบริษัท ในลักษณะที่เป็นการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือหลักปฏิบัติทั่วไปตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด

     (4) รายงานแผนการประกอบธุรกิจ การขยายธุรกิจ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ตามที่ได้รับการอนุมัติจากกลุ่มบริษัท การลดขนาดธุรกิจ การเลิกประกอบธุรกิจ การหยุดการดำเนินงานของหน่วยงาน ตลอดจนการเข้าร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ต่อกลุ่มบริษัทผ่านรายงานผลการดำเนินงานประจำเดือน และเข้าชี้แจงและ/หรือนำส่งเอกสารประกอบการพิจารณากรณีดังกล่าวในกรณีที่กลุ่มบริษัทร้องขอ

     (5) เข้าชี้แจง และ/หรือ นำส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวด้วยการดำเนินงานให้แก่กลุ่มบริษัท เมื่อได้รับการร้องขอตามความเหมาะสม

     (6) เข้าชี้แจง และ/หรือ นำส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่กลุ่มบริษัท ในกรณีที่กลุ่มบริษัทตรวจพบประเด็นที่มีนัยสำคัญใด ๆ

 8. กรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องของกลุ่มบริษัท จะกระทำธุรกรรมกับกลุ่มบริษัท ได้ต่อเมื่อธุรกรรมดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกลุ่มบริษัท และ/หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท (แล้วแต่กรณี) ตามแต่ขนาดรายการที่คำนวณได้ (โดยนำหลักเกณฑ์การคำนวณขนาดของรายการตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกัน และ/หรือประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นมาบังคับใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นการทำธุรกรรมที่เป็นข้อตกลงทางการค้าในลักษณะเดียวกับที่วิญญูชนจะพึงกระทำกับคู่สัญญาทั่วไปในสถานการณ์เดียวกัน ด้วยอำนาจต่อรองทางการค้าที่ปราศจากอิทธิพลในการที่ตนมีสถานะเป็นกรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี และเป็นข้อตกลงทางการค้าที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกลุ่มบริษัท หรือเป็นไปตามหลักการที่คณะกรรมการของกลุ่มบริษัทได้อนุมัติไว้แล้ว

 9. ในการควบคุมด้านการเงินของบริษัทย่อย บริษัทมีนโยบายให้บริษัทย่อยดําเนินการตามนโยบายดังนี้

     (1) บริษัทย่อยมีหน้าที่นําส่งผลการดําเนินงานรายเดือน และงบการเงินฉบับผ่านการสอบทานโดยผู้สอบบัญชีรายไตรมาส (ถ้ามี) ตลอดจนข้อมูลประกอบการจัดทํางบการเงินดังกล่าวของบริษัทย่อยและให้กับกลุ่มบริษัท พร้อมยินยอมให้กลุ่มบริษัท ใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อประกอบการจัดทํางบการเงินรวม หรือรายงานผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ประจําไตรมาสหรือประจําปีนั้น แล้วแต่กรณี

     (2) บริษัทย่อยมีหน้าที่จัดทํางบประมาณผลการดําเนินงาน และสรุปเปรียบเทียบผลการดําเนินงานตามแผนการดําเนินงานจริงเป็นรายไตรมาส รวมถึงติดตามผลการดําเนินงานให้เป็นไปตามแผนเพื่อรายงานต่อกลุ่มบริษัท

 10. บริษัทย่อยมีหน้าที่รายงานประเด็นปัญหาการดำเนินงานและปัญหาทางการเงินทีมีนัยสําคัญต่อกลุ่มบริษัท เมื่อตรวจพบหรือได้รับการร้องขอจากกลุ่มบริษัท พร้อมนำส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้รับการร้องขอตามความเหมาะสม

 11. ห้ามมิให้กรรมการและผู้บริหารของกลุ่มบริษัท พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้รับมอบหมายของกลุ่มบริษัท รวมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าวใช้ข้อมูลภายในของกลุ่มบริษัท ทั้งที่ได้มาจากการกระทำตามหน้าที่หรือในทางอื่นใดที่มีหรือาจจะมีผลกระทบเป็นนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัท เพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และไม่ว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือไม่ก็ตาม

 12. กลุ่มบริษัทจะติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลประกอบการและการดำเนินงานของบริษัทย่อยและดังกล่าวและนำเสนอผลการวิเคราะห์รวมถึงแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการบริษัทย่อยหรือนั้น ๆ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายหรือปรับปรุงส่งเสริมให้ธุรกิจของบริษัทย่อยและมีการพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 นโยบายการกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 เดือน มกราคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป